ฮือฮา! สาวช่างแต่งหน้า เจอเห็ดมือผีโผล่หน้าบ้าน ส่งกลิ่นเหมือนซากศพ เล็งเสี่ยงโชคซื้อหวยเลขที่บ้าน-ทะเบียนรถ สุดท้ายถูกหวยทุกงวดมาตลอด 6 เดือน
เมื่อวันที่ 13 ก.ค.65 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมาชิกเฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ภาพและข้อความ ระบุว่า “เมื่อไหร่นักข่าวจะมาทำข่าวบ้านฉันมั่งเนี่ย # เห็ดมือผี # เห็ดหายาก มันขึ้นที่บ้านฉันทุกเดือนนะ รู้ยัง” สร้างความฮือฮา และมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก โดยเฉพาะคอหวยที่ต่างนำไปตีเป็นเลขเด็ดเพื่อหวังเสี่ยงโชคในงวดนี้
ผู้สื่อข่าวจึงเดินทางไปที่บ้านหลังดังกล่าว ที่เปิดเป็นร้านแต่งหน้าเจ้าสาว ใน ต.เกาะพลับพลา อ.เมือง จ.ราชบุรี พบกับเจ้าของร้าน คือ น.ส.วนิดา สุรณาภรณ์ชัย อายุ 39 ปี
น.ส.วนิดา เล่าว่า มีเห็ดมือผีหรือเห็ดซากศพ หรือที่เรียกกันว่า “เห็ดเขาเหม็น” โผล่ขึ้นมาเหนือดินบริเวณพื้นที่สวนหน้าบ้าน เป็นเห็ดประหลาด หาดูได้ยาก ที่โผล่ขึ้นเหนือดิน
และเมื่อเข้าใกล้ จะได้กลิ่นเหม็นรุนแรงคล้ายซากศพ มีแมลงวันตอม เห็ดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงเดือนม.ค. หลังจากที่ปลูกบ้านเสร็จ พอย้ายเข้ามาอยู่ และจัดสวนปลูกดอกไม้ที่บริเวณหน้าบ้าน
จนเมื่อช่วงกลางเดือนก่อนวันหวยออก ขณะที่ตนกำลังรดน้ำต้นไม้ในบริเวณดังกล่าว แล้วได้กลิ่นเน่าเหม็น ตอนแรกคิดว่า มีซากตัวอะไรมาตายจึงค้นหาดู ก็พบมีเห็ดลักษณะคล้ายมือมนุษย์สีขาว ส่งกลิ่นเหม็นออกมา ตนเคยเห็นแต่ในข่าว และไม่คิดว่าจะมาขึ้นที่บ้านของตัวเอง
จากการค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต พบว่าเป็นเห็ดมือผี ซึ่งหายากอันดับ 2 ของโลก จึงคิดว่าเป็นการมาให้โชคลาภแน่นอน จึงลองเสี่ยงดวงดูในงวดนั้นมีโชคถูกรางวัล และเห็ดจะขึ้นก่อนวันหวยออก 2-3 วัน ทั้งงวดวันที่ 16 และ งวดวันที่ 1 ของทุกเดือน พบว่าเห็ดมือผีงอกขึ้นมาตลอด ทำให้ตนถูกหวยมาตลอด 6 เดือน และเชื่อว่าในงวดนี้ตนจะถูกรางวัลอีก จึงโพสต์ผ่านหน้าเฟซบุ๊ก เพื่อให้เพื่อนๆ ดูเผื่อจะมีใครได้โชครับทรัพย์เหมือนกับตนบ้าง
น.ส.วนิดา กล่าวต่อว่า ตนนำเลขจากการนับที่เห็นลักษณะคล้ายกับมือ และบ้านเลขที่ ทะเบียนรถยนต์ และวันเวลาที่พบเห็ด นำมาเสี่ยงโชค โดยที่ตนมีโชคถูกรางวัลมาทุกงวดมาตลอด 6 เดือน ตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้
สำหรับเห็ดมือผี หรือเห็ดซากศพ มีชื่อเรียกทางวิชาการว่า “เห็ดเขาเหม็น” Stinkhorns (สติ๊งค์ฮอนส์) โดยดอกเห็ดจะมีเมือกสีน้ำตาลหรือเขียวขี้ม้าหรือดำ ลักษณะแปลกเหมือนหนวดปลาหมึก มีกลิ่นเหม็นมากคล้ายกับกลิ่นซากสัตว์ ถือว่าเป็นเห็ดหายากเป็นอันดับ 2 ของโลก
ที่มา มติชนออนไลน์